วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือที่คนไทยควรอ่าน



หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนคู่มือสำหรับคนไทย ถ้าอ่านแล้วนำไปปฏิบัติตามประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจทางการเกษตร มีกินมีใช้ พออยู่ เหลือค้าขาย และแบ่งปันให้เพื่อนมนุษย์ แต่เราไม่ต้องการเป็นมหาอำนาจหรอก เราแค่อยากเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกก็พอ.....โดยมีในหลวงทรงเป็นประมุข

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ก้าวแรกของภาคี


วันนี้ได้รับโอกาสจากคุณหมอปัญญา ไข่มุก ผู้ดูแลกำกับงานทางด้านสุขภาพและการอกกำลังกายของ สสส. ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่รพ.เทพธารินทร์ เพื่อทำความรู้จักและแนะนำงานของ สสส.ที่ผมจะเข้าไปร่วมงานเป็นภาคีด้านการออกแบบและวางผังพื้นที่ออกกำลังสำหรับประชาชน บรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ คงจะมีการร่วมประชุมกับคณะกรรมการชุดใหญ่เร็วๆนี้
ผมอยากให้เพื่อนๆที่สนใจอยากเข้าร่วมกลุ่มภาคีทำงานร่วมกันครั้งนี้แจ้งความจำนงค์และความถนัดเพื่อรวมกลุ่มกันทำงานในอนาคต
คุณหมอแจ้งว่าเราจะเริ่มโครงการ Healhty space ในกรุงเทพฯก่อน อาจจะเป็นพื้นที่โรงเรียนของกรุงเทพฯ เป้าหมายของงาน คือ การสร้างพื้นที่ออกกำลังกายในทุกจังหวัด และจะต้องเป็นการทำงานแบบบูรณาการ คือ ชุมชนต้องดูแลพื้นที่กันเองได้ภายหลังและมีส่วนร่วมในการทำงานด้วยกันกับ สสส. จะทำให้พวกเขารักและช่วยกันดูแลพื้นที่กันต่อไป

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอไว้อาลัยคุณครู



วันนี้ทราบข่าวการจากไปของ ท่านอาจารย์เรืองศักดิ์ กันตระบุตร หรือ อาจารย์ปู่ที่ในหมู่ลูกศิษย์มักจะชื่อนี้เสมอ นับเป็นการูญเสียบุคคลากรของวงการสถาปัตยกรรมและการศึกษาที่สำคัญครั้งหนึ่ง กระผมหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้มีโอกาสเรียนกับท่าน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิต.....เติมน้ำเปล่า




วันที่นั่งเขียนบล็อคอยู่นี้ เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่สำหรับคนไทยเกือบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลางกับภาคอีสาน เมื่อคืนก็เกิดขึ้นที่ภาคใต้อีก หลายคนได้รับความทุกข์กับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมได้แต่ติดตามข่าวด้วยความเป็นห่วง บ้านเรานี่ก็แปลกดียามหน้าแล้งก็ขาดน้ำจนไม่เหลือติดเขื่อน ยามหน้าฝนน้ำก็มากเกินจนล้นเขื่อนต้องระบายออก ผมไม่รู้ว่าทำไมเรายังจัดการกับเรื่องนี้ไม่ได้เสียที สงสารชาวบ้านที่น้ำท่วมที่นา ในยามนี้ที่มีแต่ความทุกข์ถาโถมสู่ต่างจังหวัดก็จะเห็นน้ำใจคนไทยด้วยกันจากพื้นที่อื่นๆเข้าช่วยเหลือกันเสมอ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าในสังคมยังมีคนคิดดีทำดีอยู่ปะปนกัน ไม่มีใครดี 100% และไม่มีใครเลวจน 100% หรอก วันหนึ่งๆถ้าซอยชีวิตออกเป็นช่วงสั้นจะห็นว่าเราทุกคนล้วนคิดดี(กุศล)คิดเลว(อกุศล)สลับกันไปทั้งวัน ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง ท่านเปรียบการทำอกุศลของคนเราวันหนึ่งๆเหมือนการเติมน้ำเกลือลงในแก้วน้ำ ถ้าวันหนึ่งเราทำอกุศลมากก็น้ำในแก้วก็จะเค็มจนดื่มไม่ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราทำกุศลบ้างก็เปรียบเสมือนการเติมน้ำเปล่าลงไป เราไม่สามารถทำให้น้ำในแก้วเป็นน้ำเปล่าได้แต่ เราสามารถทำให้น้ำในแก้วเค็มน้อยลง...ในยามที่บ้านเรามีน้ำมาก(เกินไป) เราควรหมั่นเติมน้ำเปล่าให้กับชีวิตของเราบ้าง น้ำท่วมได้ก็ลดได้ครับ..มีสติไว้